วันจันทร์ที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

แบบทดสอบจุดประสงค์ 5

แบบทดสอบเรื่อง หลักการฟังและการดูสื่อ
ภาษาไทย ชั้นมัธยมศึกษาปีที่2
เรื่อง หลักการฟังและการดูสื่อ
โดย ด.ญ.สุทธิณี บูรณะและ ด.ญ.แสงดาว โพธิ์วัง
คำสั่ง เลือก เติมคำตอบที่ถูกต้องที่สุด


ภาษาไทย ชั้นมัธยมศึกษาปีที่2
เรื่อง หลักการฟังและการดูสื่อ
โดย ด.ญ.สุทธิณี บูรณะและ ด.ญ.แสงดาว โพธิ์วัง
คำสั่ง เลือก เติมคำตอบที่ถูกต้องที่สุด
ข้อที่ 1)

ข้อใดหมายถึงเรื่องราวหรือเนื้อหาสาระซึ่งมีหลายประเภท
   สื่อ
   สาร
   ผู้รับสาร
   ผู้ส่งสาร

ข้อที่ 2)
ข้อใดไม่ใช้จุดประสงค์หลักของการฟังสื่อ
   ฟังนิทานเพื่อนำมาเล่าต่อ
   ฟังพยากรณ์อากาศทางโทรทัศน์
   ฟังเพลงทางวิทยุเพื่อความบันเทิง
   ดูโฆษณาสินค้าทางอินเทอร์เน็ตเพื่อเปรียบเทียบราคา

ข้อที่ 3)
ข้อความต่อไปนี้เป็นการพูดที่มีจุดมุ่งหมายใด “ไขหวัดนกเป็นโรคร้ายแรงอาจถึงแก่ชีวิตได้โปรดช่วยดูแลสุขภาพของลูกหลายและคนชราเพื่อให้รอดพ้นจากไข้หวัดนกด้วยการไม่คลุกคลีกับไก่และนกที่เป็นโรคา
   โน้มน้าวใจ
   จรรโลงใจ
   ให้ข้อเท็จจริง
   สร้างไมตรี

ข้อที่ 4)
ข้อใดไม่ใช้ความสำคัญของการฟังและการดูสื่อ
   ช่วยพัฒนาจิตใจ
   ช่วยให้ใช้สื่อได้ชำนาญ
   ช่วยพัฒนาด้านสติปัญญา
   ช่วยให้ความสนุกสนานเพลิดเพลินใจ

ข้อที่ 5)
ข้อใดไม่ใช่เจตนาในการส่งสาร
   ให้ความรู้
   ให้วิจารณ์
   โน้นน้าวจูงใจ
   ให้ความเพลิดเพลิน

ข้อที่ 6)
บริษัทยืนยันในการดำเนินกิจการ คำว่า จุดยืน มีความหมายตรงตามข้อใด
   ยึดติด
   แน่นหนา
   ความพร้อม
   ภาวะฐานะ

ข้อที่ 7)
ติ๊กบอกหนูว่า เมื่อคืนฝนตกหนักทำให้น้ำท่วมถนนเข้าหมู่บ้านจากสถานการณ์ที่ยกมา นักเรียนคิดว่าสารมีลักษณะอย่างไร เพราะเหตุใด
   เป็นข้อเท็จจริง เพราะมีผู้ส่งสารและผู้รับสาร
   เป็นข้อคิดเห็น เพระเป็นข้อความแสดงทัศนะ
   เป็นข้อเท็จจริง เพราะผู้พูดพูดจากสิ่งที่เกิดขึ้นแล้วในขณะนั้น
   เป็นข้อคิดเห็น เพราะเป็นสถานการณ์สมมติ

ข้อที่ 8)
สำสวนใดไม่สื่อความหมายถึงการพูด
   พูดไปสองไพเบี้ย นิ่งเสียตำลึงทอง
   น้ำร้อนปลาเป็น น้ำเย็นปลาตาย
   น้ำท่วมทุ่ง ผักบุ้งโหรงเหรง
   น้ำพึ่งเรือ เสือพึ่งป่า

ข้อที่ 9)
ข้อใดเป็นประโยชน์ของการรู้จักเคราะห์แยกแยะสาร
   ผู้รับสารไม่ตกเป็นเหยื่อของสื่อ
   เข้าใจและเชื่อสารที่ได้รับง่ายขึ้น
   ทำให้ทราบว่าสารประเภทใดเหมาะกับตัวเอง
   สามารถจดจำข้อมูลข่าวสารได้ปริมาณมาก

ข้อที่ 10)
การกระทำใดที่แสดงให้เห็นว่าเป็นผู้มีมารยาทในการฟังและดูร่วมกับผู้อื่น
   ฟังหูไว้หู ไม่รู้รีบยกมือขึ้น
   อดทนฟังแม้เป็นเรื่องที่ไม่ชอบ
   แสดงท่าทีให้ชัดเจนว่าชอบหรือไม่ชอบเรื่องที่ฟัง
   พยายามทำหน้าขรึมไม่ให้ผู้พูดรู้ว่ากำลังคิดอะไร


วันจันทร์ที่ 15 กรกฎาคม พ.ศ. 2556


ภาษาไทยม.2เรื่อง วิวิทธภาษา ชั้นมัธยมศึกศาปีที่2เรื่อง วิวิทธภาษา ชั้นมัธยมศึกษาปีที่2 เรื่องพูดดีมีเสน่ห์



พูดดี  มีเสน่ห์

พาทีมีสติรั้ง            รอคิด
รอบคอบชอบแลผิด        ก่อนพร้อง
คำพูดพ่างลิขิต             เขียนร่าง  เรียงแฮ
ฟังเพราะเสนาะต้อง        โสตทั้งห่างภัย 


พูดดี  มีเสน่ห์
แจงเป็นเด็กหญิงอายุ13 ปี อยู่กับพ่อแม่ พี่ชาย  และน้องสาว ในบ้านหลังเล็กๆ ที่ปลูกอยู่ในบริเวณเดียวกันกับบ้านของคุณยาย  และบ้านของป้าวิมลอีก 1 หลัง คุณยายมีลูกสาว 2 คน คือป้าวิมล และวิภาแม่ของแจง  แจงรักคุณยายและชอบคุยกับคุณยายมาก  ไม่ว่าแจงจะคิดจะทำอะไร แจงจะไปเล่า ไปปรึกษา และขอความเห็นจากคุณยายเสมอวันนี้ทำการบ้านเสร็จแล้ว อยากคุยกับคุณยาย จึงไปหาคุณยายที่บ้าน

แจง      :  สวัสดีค่ะคุณยาย
คุณยาย   :  จ้ะสวัสดี  นี่ยายทำลอดช่องของชอบของแจงพอดีเลยมากินเสียซิ
แจง      :  ขอบคุณค่ะ วันนี้แจงมีเรื่องของแก้วมาเล่าให้คุณยายฟัง
คุณยาย   :   เดี๋ยวค่อยเล่าก็ได้  กินขนมให้เสร็จเสียก่อน
แจง       ค่ะ แจงตื่นเต้นนะคะ อยากให้คุณยายรู้จักแก้ว
คุณยาย   :  เรื่องของแก้วนี่ ดีหรือร้ายจ๊ะ
แจง     :  เรื่องดีค่ะ  ดีมากๆ  ด้วย  แก้วเขาได้รับเลือกให้เป็นนักเรียนดีเด่นของ  โรงเรียนปีนี้ค่ะ
คุณยาย  :  แจงคงชอบแก้วมาก จึงดีใจกับเขา สนิทกับเขามากหรือ
แจง     :  ค่ะ  คุณยาย  สนิทกันเพราะตอนเย็นเรากลับบ้านด้วยกันทุกวัน  แจง   กับแก้วชอบ            อะไรเหมือนๆกัน
คุณยาย   :   ชอบอะไรบ้างล่ะ ที่เหมือนกัน
แจง   :  เราชอบนุ่งกางเกงยีนส์แต่ไม่ชอบสวมเสื้อยืดเหมือนกันชอบดูกีฬาแต่ไม่ชอบเล่นเหมือนกัน และก็ชอบดูหนังฟังเพลงเหมือนกันค่ะ ที่ต่างกันก็มีนะค่ะ คือ แจงพูดอะไรตรงๆแบบที่คุณยายว่า  ขวานผ่าซาก  แต่แก้วเขาระวัง  เขาไม่ว่าใครเลย  พูดก็เพราะ  คุณยาย 
คงเดาได้นะคะว่าเพื่อนๆ ต้องชอบแก้วมากกว่าแจง
คุณยาย   :  แล้วนักเรียนดีเด่นนี่ เขาเลือกด้วยเกณฑ์อะไรล่ะจ๊ะ
แจง   :  อาจารย์ใหญ่บอกว่า  แก้วเป็นคนที่มีมารยาทดี มีมนุษยสัมพันธ์ดี  มีใจเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่และใส่ใจการเรียนดีเยี่ยมด้วยค่ะ  แก้วพูดจาอ่อนหวานไพเราะกับทุกคนไม่ว่าคนนั้นจะเป็นใคร  เวลามีคนมาชมกิจการของโรงเรียน  แก้วมักได้รับเลือกเป็นผู้นำชมค่ะ  แล้วเวลาที่เขาจะกลับมักชมแก้วให้ใครๆได้ยินว่าแก้วพูดเพราะ พูดเก่ง  และพูดชัด  แก้วก็จะตอบว่า ขอบพระคุณค่ะ
คุณยาย   :    ยายก็สอนแจงบ่อยๆ ไม่ใช่หรือว่า  การพูดเป็นสิ่งสำคัญเราต้องพูดให้เพราะและพูดให้ชัด เก่งหรือไม่เก่งก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง
แจง   : แก้วเขาเป็นคนมีน้ำใจด้วยค่ะ  เวลามีเพื่อนเขามายืมอุปกรณ์วาดรูป  เครื่องมือทำงานแก้วก็ให้ยืม ทั้งๆ ที่ต้องใช่เหมือนกัน  และพูดดีกับเพื่อนทุกครั้งเลยคี่ไม่เคยบ่นว่าอะไรเลย   
คุณยาย   :   ใจดีด้วยนะ  แก้วคนนี้
แจง   : ค่ะ ที่แจงชอบแก้วมากอีกเรื่องหนึ่ง คือ เวลามีเพื่อนมาเล่าเรื่องไม่ดีของเพื่อนคนอื่นให้ฟัง แก้วจะไม่พูดต่อเลยค่ะ แล้วไม่ให้แจงวิพากษ์วิจารณ์ด้วย  ทั้งแก้วทั้งแจงจึงไม่มีเรื่องผิดใจกับเพื่อนคนไหนเลยค่ะ
คุณยาย  :  อย่างนี้เรียกว่า  เป็นไม่นินทาว่าร้ายใคร
แจง   :  กับคนอื่นแก้วก็พูดดีนะค่ะ  เวลาไปเดินในร้านขายหนังสือใกล้โรงเรียนด้วยกันพนักงานขายมักจะยิ้มให้แก้วเพราะแก้วจะขอบคุณเขาทุกครั้งที่เขาพาไปหาหนังสือที่เราสนใจ  หรือไปหยิบหนังสือมาให้เรา  แจงเสียอีกลิ้นแข็ง  ไม่ค่อยพูดขอบคุณเขา
บางทีดูเหมือนตัวเองออกจะหยิ่งนะคะ  ชอบคิดว่าเขามีหน้าบริการก็ต้องบริการแต่ตอนนี้แจงคิดได้แล้วค่ะ  แจงจะทำตามอย่างแก้ว   จะได้มีเพื่อนมากๆ ดีไหมคะคุณยาย
คุณยาย   :  ดี ลูก
แจง     :  คุณยายเอาใจช่วยแจงนะคะ
คุณยาย   :  จ๊ะ   ยายก็ชอบมีหลานเป็นพูดดี  มีคนรักคนชอบเหมือนกัน  ว่าแต่ว่าพูดเหนื่อยหรือยังจ๊ะ  ยายว่าหยุดคุยกินลอดช่องของโปรดของแจงเสียก่อนดีไหม
แจง   :  ดีค่ะ  ขอบพระคุณค่ะ  แจงรักคุณยายมากที่สุดในโลกเลยค่ะ

ข้อคิดจากเรื่อง
เรื่อง พูดดี มีเสน่ห์  เป็นบทสนทนาระหว่างยายกับหลาน  ให้ข้อคิดว่าการพูดเป็นสิ่งสำคัญ  การพูดดีป็นการพูดเพื่อให้ผู้ฟังพอใจ  สบายใจ  โดยผ่านการเลือกสรรถ้อยคำที่สภาพไพเราะเหมาะสมกับกาลเทสะและบุคคล  พูดความจริงพูดมีสารประโยชน์  มีเหตุผลที่น่าสนใจ  น่าเชื่อถือ  คนพูดดีจึงมักได้รับความชื่นชม  รักใคร่  มีเสน่ห์ชวนให้คนอยากคบหาสมาคมด้วย    

ความรู้เกี่ยวกับการพูด
การพูดมีความสำคัญต่อการดำเนินชีวิตประจำวันของคนเรา  เราต้องพูดจาสื่อสารกับคนที่แวดล้อมใกล้ตัว  เช่น พ่อ แม่ ญาติพี่น้อง เพื่อนฝูง ครูอาจารย์ คนที่ต้องพบปะเกี่ยวข้องสัมพันธ์ในกิจกรรมการเรียน การงาน อาชีพ และวิถีทางดำเนินชีวิตในแต่ละวัน เช่น  คนขายของ  คนเก็บเงินค่าโดยสารรถประจำทาง  คนเก็บขยะ  บุรุษไปรษณีย์ และอื่นๆ การพูดกับคนที่แวดล้อมใกล้ อาจมีเรื่องราวที่หลากหลายทั้งมีสาระและไม่มีสาระ เรื่องพูดคุยเล่าสู่กันฟัง เรื่องการแสดงความคิดความเห็นเกี่ยวกับสิ่งที่ประสบพบเห็น ซึ่งอาจสอดคล้องไปในแนวทางเดียวกันหรือขัดแย้งต่างมุมมองกัน  แต่การพูดกับอื่นที่มิใช่คนที่แวดล้อมใกล้ตัว  อาจเป็นการพูดที่เฉพาะเจาะจงเกี่ยวกับกิจกรรมที่ต้องดำเนินการร่วมกันหรือเกี่ยวข้องกันโดยหน้าที่การงาน  การประกอบอาชีพ  การร่วมกิจกรรมบำเพ็ญประโยชน์ต่างๆ  นอกจากนี้ยังมีการพูดอย่างเป็นางการกับที่ประชุมชน  การพูดกับคนจำนวนมาก  เช่น กล่าวคำอวยพร  กล่าวปฐมกถา  กล่าวสุนทรพจน์  บรรยายทางวิชาการ  อภิปราย  โต้ว่าที  หรือการพูดกึ่งทางการ เช่น  แสดงความคิดเห็นในที่ประชุม  แสดงความคิดเห็นทางวิชาการ  เล่านิทาน เล่าประสบการณ์ เป็นต้น  โดยทั่วไป  ผู้ที่ประสบความสำเร็จในธุรกิจการงาน  มีมนุยสัมพันธ์ และทำประโยชน์ให้แก่สังคมประเทศชาติ  ส่วนใหญ่มักเป็นคนที่มีประสิทธิภาพในการพูด  เป็นบุคคลที่ได้รับการยอมรับว่า  พูดดี การเก่ง กล้าพูด และมารยาทในการพูด  ส่วนหนึ่งเป็นความสามารถเฉพาะตัวของแต่ละคนที่ลอกเลียนแบบกันได้ยากเรียกกว่ามีพรสวรรค์  อีกส่วนเป็นความสามารถที่ได้จากการศึกษาเรียนรู้  ฝึกฝน  พัฒนา  ที่กล่าวว่า  เป็นความสามารถที่ได้จากพรแสวง

พูดดี  หมายถึง  การพูดที่ใช้ถ้อยคำที่สุภาพไพเราะ  ออกเสียงได้ขัดเจนถูกต้อง  มีจังหวะหนักเบาและน้ำเสียงตามความหมายของข้อความหรือเรื่องราวเลือกถ้อยคำและคำลงท้ายเหมาะสมกับเรื่องราว  กาลเทศะ  และบุคคล  พูดคำจริง  ไม่พูดคำเท็จ  ไม่พูดบิดเบือนความจริง  ไม่พูดส่อเสียดหรือยุยงใส่ร้ายป้ายสีกัน  รู้ว่าอะไรควรพูด  อะไรไม่ควรพูด  เช่น ไม่พูดเรื่องที่เป็นการล่วงล้ำหรือละเมิดสิทธิส่วนบุคคล ซึ่งนอกจากเป็นการเสียมารยาทแล้วยังอาจผิดกฎหมายด้วยไม่พูดในสิ่งที่ทำให้กระทบกระเทือนใจ  หรือทำให้คนอื่นเก้อกระดาก อับอาย โดยเฉพาะท่ามกลางที่ประชุมชน  ไม่พูดถึงสิ่งที่เป็นอัปมงคลในงานมงคล  เป็นต้น  พูดดียังหมายรวมถึงการมีมารยาทในการพูดที่ให้ความสำคัญกับผู้ฟังหรือคู่สนทนา  เช่น สบตา  ยิ้มแย้มแสดงความเป็นมิตร  เปิดโอกาสให้ผู้ฟังหรือคู่สนทนาได้พูดหรือแสดงความคิดเห็น  ใส่ใจความรู้สึก  ความพึงพอใจของผู้ฟังหรือคู่สนทนา  ไม่ชิงพูดไม่พูดขัดหรือแทรกก่อนที่ที่คู่สนทนาจะพูดจบความ  ที่สำคัญการพูดดีต้องเป็นการพูดที่สื่อความหมายให้เข้าใจในทางสร้างสรรค์  พูดแล้วทำให้คนพอใจ สบายใจ มีความสุข เกิดผลดี เกิดความรัก ความสามัคคี  และความเจริญก้าวหน้าในหมู่คณะสังคม และประเทชาติ เช่น การพูดให้กำลังใจที่กำลังผิดหวัง  พูดให้คนมานะอดทนต่อสู้กับความลำบากยากจน พูดให้คนคลายความวิตกกังวล ความโกรธ  ความอิจฉาริษยา  พูดให้คนร่วมคิด ร่มทำ ร่วมสร้างสรรค์สังคมและประเทศชาติ
พูดดี  มักมีพื้นฐานมาจากการคิดดี  คิดถูกต้อง คิดสุจริต คิดอย่างมีเหตุผล คิดถูกวิธี คิดถึงประโยชน์ที่จะเกิดขึ้นต่อส่วนรวม สังคม และประเทศชาติ มากกว่าประโยชน์ส่วนตน  การคิดดีนั้นควรคิดในทางสร้างสรรค์  มีสติกำกับ สติทำให้เกิดปัญญา  ปัญญาทำให้รู้เห็นถึงแนวทางที่ควรทำควรปฏิบัติ เมื่อต้องถ่ายทอดความคิดดีโดยการพูดเพื่อสื่อสารไปให้ผู้อื่นรับรู้หรือนำไปปฏิบัติ  ก็ย่อมเป็นคำพูดที่ดีตามไปด้วย  สิ่งที่ต้องระวังให้มากเกี่ยวกับการพูดนั้น คือ ต้องคิดก่อนพูด คิดถึงความควรไม่ควร คิดถึงความรู้สึกของผู้ฟัง คิดถึงผลได้ผลเสียที่พึงจะได้รับการพูดโดยไม่คิดมักทำให้ผิดใจกัน ทำลายสัมพันธภาพที่เคยดีต่อกัน ทำให้เสียประโยชน์ เกิดผลเสียหาย และอาจนำภัยมาสู่ตน สู่บุคคลที่แวดล้อมใกล้ชิด สู่สังคมและประเทศชาติ อย่างที่เรามักกล่าวกันว่าเป็นโอษฐภัย ดังคำโคลงสุภาษิต นฤทุมนาการที่ว่า

พาทีมีสติรั้ง                            รอคิด
รอบคอบชอบแลผิด                  ก่อนพร้อง
คำพูดพ่างลิขิต                        เขียนร่าง  เรียงแฮ
ฟังเพราะเสนาะต้อง                  โสตทั้งห่างภัย
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว

พูดเก่ง หมายถึง การพูดที่มีกลวิธีในการพูดเพื่อให้น่าสนใจ น่าประทับใจพูดแล้วเกิดผลดีผลสำเร็จ คนพูดเก่งมักมีวิธีการพูดที่ทำให้คนฟังสนใจ เพลิดเพลินสนุกสนาน มีลีลาการพูดที่เป็นแบบฉบับเฉพาะตน ประกอบกับการแสดงสีหน้า ท่าทาง น้ำเสียงได้สอดคล้องกับเรื่องราวและอารมณ์ความรู้สึก มีการสอดแทรกมุกตลก คำคม สำนวนโวหาร คำประพันธ์ที่ไพเราะ  และน่าสนใจ ในช่วงจังหวะการพูดที่เหมาะสมก็เป็นกลวิธีหนึ่งในการสร้างบรรยากาศ ความน่าเชื่อถือ และความประทับใจแก้ผู้ฟัง พูดเก่ง มีลักษณะการพูดดังนี้
พูดได้สาระความรู้ อ้างอิงข้อมูลหรือข้อเท็จจริงได้ถูกต้องแม่นยำ
พูดตรงประเด็น  ตรงตามหัวข้อที่พูด เนื้อหาสาระที่พูดไม่สับสนวกวน
พูดคล่อง ออกเสียงได้ชัดเจน ถูกต้อง เป็นธรรมชาติ  ไม่ติดขัด

กล้าพูด  หมายถึง การยอมพูดในสิ่งที่ควรพูด  ไม่เกรงกลัวอิทธิพล หรืออันตราย มีความเชื่อมั่นในตนเอง กล้าแสดงความคิดเห็นของตนเองบนพื้นฐานความรู้ ความสามารถ ทักษะ และประสบการณ์ที่ตนมีตนรู้ เพื่อประโยชน์และผลสำเร็จทั้งต่อตนเองและต่อส่วนรวม โดยคำนึงถึงกาลเทศะที่ควรพูด เช่น ทักท้วงเมื่อเห็นผู้ทำผิดหรือทำสิ่งไม่เหมาะสม เสนอความคิดเห็นหรือข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อการแก้ไขปัญหาหรือพัฒนากิจการงาน กล้าพูด กล้าแสดงความจริงใจและรับผิดชอบต่อคำพูดของตน เมื่อพูดเรื่องใดไปแล้ว เกิดผลเสียหาย ต้องยอมรับว่าตนพูดไปจริง และยอมรับผิด โดยกล่าวคำขอโทษ หรือถอนคำพูด
มารยาทในการพูด
มารยาท หมายถึง กิริยาอาการที่แสดงออก ให้ปรากฏทางกายและทางวาจา อย่างถูกต้อง เรียบร้อยงดงาม ตามคตินิยมของคนในสังคมมารยาทเป็นเครื่องหมายของความเป็นผู้ที่มีวัฒนธรรมที่ดีงาม การพูดให้ประสบความสำเร็จต้องคำนึงถึงมารยาทตามคตินิยมของสังคมมารยาทในการพูด จะมุ่งเน้นมารยาทที่แสดงออกทางวาจาเป็นประเด็นหลัก เช่น ใช้ถ้อยคำที่สุภาพ เหมาะสมกับบุคคล กาลเทศะ
การพูดในโอกาสต่างๆ

การทักทายปราศรัย

การทักทายเป็นทุกมารยาทของสังคม เมื่อพบคนที่รู้จักกันย่อมต้องทักทายปราศรัยกันเพื่อแสดงไมตรีที่มีต่อกัน  ในการทักทายปราศรัยควรใช้ถ้อยคำที่ทำให้ผู้ฟังสบายใจคนแต่ละชาติอาจทักทายด้วยถ้อยคำที่ต่างกัน  เช่น  คนไทยนิยมทักว่า ไปไหนมา โดยมิได้เจตนาแท้จริงว่าต้องการรู้คำตอบ  หรืออยากรู้เรื่องส่วนตัวของผู้อื่น คนตอบจะตอบเพียงเพื่อแสดงไมตรีเท่านั้น ไม่ถือเป็นเรื่องจริงจังนักคนที่สนิทสนมกันอาจทักด้วยเรื่องที่ใกล้ตัว  เช่น  ทำการบ้านหรือยัง  กินข้าวหรือยัง  มาโรงเรียนแต่เช้าเลยนะ  วันนี้ใครมาส่ง  การทักทายผู้ใหญ่หรือผู้ที่ไม่คุ้นเคย ต้องใช่ถ้อยคำที่สุภาพตามแบบที่นิยมกัน  เช่น  สวัสดีค่ะ  หรือ  สวัสดีครับ  พร้อมกับน้อมไหว้แสดงความเคารพ  และอาจถามตามมารยาทว่าคุณครูสบายดีหรือค่ะ  ท่านสบายดีหรือครับ  หรือทักทายตามสถานการณ์  เช่น  ท่านออกกำลังกายหรือค่ะ  คุณครูกำลังจะไปสอนหรือครับ  คุณยายมาทำบุญหรือค่ะ

การแนะนำตัวเอง
ในบางโอกาส เราจำเป็นต้องแนะนำตัวเองว่าเราเป็นใคร และสาเหตุที่แนะนำตนเองนั้นมีจุดมุ่งหมายใด เช่น นักเรียนได้รับมอบหมายให้เป็นผู้นำชมนิทรรศการของโรงเรียน เมื่อผู้ชมงาน นักเรียนต้องพูดแนะนำตนเอง บอกชื่อ บอกชั้นเรียน และบอกหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายนักเรียนที่ไปติดต่อหน่วยงาน หรือสถานที่บางแห่ง เช่น สถานที่ฝึกงานระหว่างปิดภาคเรียน เมื่อไปถึงสถานที่นั้น ต้องแนะนำตนเองว่าชื่ออะไร เรียนอยู่ชั้นใด โรงเรียนใด และแจ้งธุระที่มาติดต่อให้ขัดเจนในงานเลี้ยงต่างๆ เช่น งานมงคลสมรส งานทำบุญขึ้นบ้านใหม่ บางครั้ง ต้องนั่งร่วมโต๊ะอาหารกับผู้อื่น อาจแนะนำตนเองด้วยการบอกชื่อ บอกความสัมพันธ์กับเจ้าของงาน แต่ควรระมัดระวังไม่ให้เป็นการอวดตน ฝ่ายคู่สนทนาก็ควรแนะนำตนเอง ไม่ควรรีรอ เพราะอาจทำให้อีกฝ่ายอึดอัด ไม่สบายใจการแนะนำตนเองไม่ว่าโอกาสใด ควรขึ้นต้นว่า สวัสดีครับ สวัสดีค่ะ เพื่อแสดงความสุภาพ
การสนทนา 

การสนทนา เป็นกิจกรรมที่คน 2 คนหรือมากกว่า พูดคุยแลกเปลี่ยนความรู้ ความคิด ความรู้สึก และประสบการณ์ระหว่างกัน ในโอกาสหรือสถานการณ์ต่างๆ เช่น การสนทนาในที่ชุมชน การสนทนาในรายการโทรทัศน์ การสนทนากับบุคคลเพิ่งรู้จักในงานสังคมต่างๆในการสนทนา ควรเลือกเรื่องที่ตนเอง และคู่สนทนามีความรู้และความสนใจร่วมกันอาจจะเป็นเหตุการณ์ปัจจุบัน หรือเป็นเรื่องที่กำลังเป็นข่าว เรื่องที่เหมาะกับกาลเทศะ เช่น การสนทนาในงานมงคลสมรส ควรพูดถึงแต่สิ่งที่ดีงาม ไม่พูดเรื่องที่ทำให้ไม่สบายใจ ขณะรับประทานอาหาร ไม่ควรพูดเรื่องหวาดเสียว หรือเรื่องที่ชวนให้รังเกียจขยะแขยง
การพูดติดต่อทางโทรศัพท์และการรับโทรศัพท์

เมื่อมีผู้โทรศัพท์ติดต่อไป  ผู้รับโทรศัพท์ควรพูดทักทายก่อน  ส่วนผู้ติดต่อไปควรแจ้งแก่ผู้รับโทรศัพท์ให้ชัดเจนว่า  ตนเป็นใครประสงค์จะพูดกับใคร  เรื่องใดและควรพูดให้กระชับ  เพื่อจะได้ไม่เสียเวลา  ผู้รับโทรศัพท์ควรพูดด้วยเสียงที่เป็นมิตร  แสดงความมีน้ำใจในการฝากข้อความ  และถามเกี่ยวกับข้อความที่รับฝากให้ถูกต้องครบถ้วน  เมื่อต้องตามผู้อื่นให้มารับโทรศัพท์  ควรบอกผู้ติดต่อให้ชัดเจนว่าบุคคลที่ผู้ติดต่อต้องการจะพูดด้วยนั้นอยู่ที่ใด  ถ้าต้องตามมารับโทรศัพท์จะใช้เวลามากน้อยเพียงใด
ตัวอย่างการพูดโทรศัพท์
๑.ผู้รับ  :     สวัสดีค่ะ
ผู้ติดต่อ  :  สวัสดีครับ ผมอรรคพล ขอพูดกับอาจารย์กาญจนา ครับ
ผู้รับ  :     กำลังพูดอยู่ค่ะ
ผู้ติดต่อ  :  ผมขอเวลาอาจารย์ตอนนี้ได้ไหมครับ
ผู้รับ  :     ได้ค่ะ
ผู้ติดต่อ  :  (พูดธุระของตนเอง)
๒.ผู้รับ  :     สวัสดีครับ  บ้านคุณบรรเจิดครับ
ผู้ติดต่อ  :   ขอพูดกับคุณบรรเจิดค่ะ
ผู้รับ  :      ตอนนี้คุณพ่อไม่อยู่ครับ จะฝากข้อความไหมครับ
ผู้ติดต่อ  :   ขอฝากข้อความว่า  เพื่อนชื่อวัชรินทร์  ขอเลื่อนนัดส่งต้นฉบับหนังสือไปเป็นวันพรุ่งนี้  เวลาเดิมได้หรือไม่  ให้ติดต่อกลับด้วยค่ะ
ผู้รับ  :     ขอเบอร์ติดต่อกลับด้วยครับ
ผู้ติดต่อ  :  เบอร์ 0 2277  7777 ค่ะ
ผู้รับ  :     ขอทวนนะครับ  ฝากข้อความว่า  เพื่อนชื่อวัชรินทร์โทรมาถามว่าขอเลื่อนนัดส่งต้นฉบับหนังสือไปเป็นวันนี้เวลาเดิมได้หรือไม่ ขอให้ติดต่อกลับ เบอร์ 0 2277 7777
ผู้ติดต่อ  :  ถูกต้องค่ะ  ขอบคุณค่ะ สวัสดีค่ะ
ผู้รับ  :     สวัสดีครับ

คิดตรอง  ลองทำดู
แบ่งกลุ่มแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับการพูดจากบทประพันธ์ต่อไป
ถึงบางพูดพูดดีเป็นศรีศักดิ์                      
มีคนรักรสถ้อยอร่อยจิต
แม้นพูดชั่วตัวตายทำลายมิตร           
จะชอบผิดในมนุษย์เพราะพูดจา

นิราศภูเขาทอง ของ พระสุนทรโวหาร
จะพูดจาปราศรัยกับใครนั้น               
อย่าตะคั้นตะคอกให้เคืองหู
ไม่ควรพูดอื้ออึงขึ้นมึงกู                     
 คนจะหลู่ล่วงลามไม่ขามใจ
แม้จะเรียนวิชาทางค้าขาย                  
 อย่าปากร้ายพูดจาอัชฌาสัย
จึงซื้อง่ายขายดีมีกำไร                        
ด้วยเขาไม่เคืองจิตรคิดระอา
เป็นมนุษย์สุดนิยมเพียงลมปาก             
จะได้ยากโหยหิวเพราะชิวหา
แม้นพูดดีมีคนเขาเมตตา                     
จะพูดจาจงพิเคราะห์ให้เหมาะความ

นิราศพระบาท ของ พระสุนทรโวหาร

คิดก่อนจึงค่อยทำจงจำไว้  
ทำอะไรต้องคิดทั้งหน้าหลัง
อย่าปล่อยตัวให้ทำตามลำพัง          
ต้องเอาใจเหนี่ยวรั้งเสมอไป
ก่อนจะทำสิ่งใดใจต้องคิด               
ถูกหรือผิดทำอย่างนี้ดีหรืไม
ถ้าหากเห็นว่าไม่ดีมีโทษภัย              
ต้องหาทางทำใหม่ทำให้ดี

พรจากพ่อ ของ พลตรีหลวงวิจิตรวาทการ

ช่วยกันหาสำนวนที่คล้ายหรือตรงข้ามกับสำนวนขวานผ่าซากพร้อมยกตัวอย่างพฤติกรรมหรือการแสดงออกตามสำนวนนั้นๆ ประกอบร่วมกันแสดงความคิดเห็นถึงความเหมือนและความแตกต่างระหว่างคำว่า  มารยาทดี  กับ  มีสมบัติผู้ดีพิจารณาว่าในห้องเรียนว่ามีใครบ้างที่มีคุณลักษณะ  เป็นผู้มีน้ำใจดีหรือ  มีมนุษยสัมพันธ์ดี  พร้อมแสดงพฤติกรรมที่ประจักษ์เพื่อสนับสนุนความคิดเห็นนั้นครูนำสนทนาให้นักเรียนแสดงความเห็นว่า  การสำรวมกิริยาอาการนั้นคืออย่างไรจับคู่สนทนาแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเกี่ยวกับนักพูดที่นักเรียนชื่นชอบระบุชื่อ  ความสามารถในการพูด  แบบอย่างที่นักเรียนสนใจที่จะฝึกฝนฝึกเขียนบทและแสดงบทบาทสมมติโดยเลือกหัวข้อต่อไปนี้  หรือ  ตั้งหัวข้อที่น่าสนใจขึ้นมาใหม่บทสนทนาเกี่ยวกับมารยาทการพูดในที่สาธารณะบทสนทนาโต้ตอบทางโทรศัพท์  สอบถามรายระเอียดเพื่อสั่งซื้อหนังสือที่ต้องการบทสนทนาโต้ตอบทางโทรศัพท์เพื่อขอข้อมูลในจังหวัดหรืออำเภอที่นักเรียนอยู่กลวิธีการพูดและการแสดงออกที่ให้ความสำคัญกับคู่สนทนา

คิดเพิ่ม  เสริมทักษะ
เขียนคำขวัญหรือแต่งคำประพันธ์แสดงความสำคัญของการพูดผลงานที่ได้รับการคัดเลือกให้นำไปติดที่ป้ายนิเทศของห้องเรียนเพื่อให้เพื่อนๆได้อ่านทั่วกันฝึกพูดแนะนำตนเองโดยสมมติว่านักเรียนเป็นนักเรียนใหม่  ต้องย้ายมาโรงเรียนใหม่เพราะพ่อของนักเรียนเพิ่งย้ายมาประจำอยู่ในอำเภอหรือในจังหวัดที่โรงเรียนใหม่ของนักเรียนตั้งอยู่ศึกษาค้นคว้าลักษณะการพูดรูปแบบต่างๆ ที่ตนสนใจแล้วนำมาแลกเปลี่ยน เวียนกันอ่านในห้องเรียนรวบรวมคำประพันธ์ที่ไพเราะน่าสนใจเกี่ยวกับการพูด บอกแหล่งที่มาแล้วนำไปติดที่ป้ายนิเทศของห้องเรียนต่อไปศึกษาเพิ่มเติมว่าขนมลอดช่องคือขนมประเภทใด  มีวิธีทำและที่มาอย่างไร  แล้วนำข้อมูลที่ได้รวบรวมศึกษานั้นไปติดไว้ที่ป้ายนิเทศของห้องเรียนให้เพื่อนๆ  ได้เรียนรู้ด้วย

ขอขอบคุณ http://www.khetsarin42.blogspot.com

เมื่อแพะกลายเป็นสุนัข

 “ในการรับสาร  ไม่ว่าจะฟังหรืออ่าน
ผู้รับสารต้องพิจารณาให้รอบคอบก่อนว่า  ข้อความที่ฟังหรืออ่านนั้น
สมเหตุสมผลหรือไม่
เมื่อมีผู้โน้มน้าวหรือชักชวนให้ทำสิ่งใดหรือไม่ให้ทำสิ่งใด
จะต้องรู้จักวิธีหลีกเลี่ยงปฏิเสธ
เมื่อพบว่าการโน้มน้าวใจนั้นไม่ถูกต้อง

เมื่อแพะกลายเป็นสุนัข
ใจหนึ่งก็อยากจะซื้อ ใจหนึ่งก็เสียดายเงิน คำรำพึงของใครคนหนึ่ง
ขณะที่เดินดูสินค้าอาจทำให้รู้สึกเหมือนกับว่าคนเรานั้นมีสองใจ แท้ที่จริงใจ ในที่นี้คือความคิด คนเราคิดได้หลายอย่าง ถึงได้มีสำนวนว่า หลายใจ ขึ้นมา คนที่เปลี่ยนใจคือคนที่เปลี่ยนความคิด ซึ่งไม่ใช่เรื่องเสียหาย ถ้าเปลี่ยนแล้วดีขึ้น แต่ถ้าเปลี่ยนบ่อยๆจนไม่อยู่กับร่องกับรอย ก็คงไม่มีทางรู้ว่าเปลี่ยนแล้วจะดีหรือไม่ดี  กลายเป็นคน ใจโลเล เหมือนไม้หลักปักเลนเอนไปมา คนที่เชื่อคนอื่นง่ายๆ โดยไม่ยั้งคิด ท่านว่าเป็นคน ใจเบา ราวกับ พกนุ่น ถ้าเชื่อง่าย ยินยอมง่ายๆ ให้เขาหลอกไปในทางมิดีมิร้าย คงต้องเรียกว่า ใจง่าย ส่วนคนที่ไม่เชื่อใครง่ายๆ ท่านว่าเป็นคน ใจหนักแน่นเหมือน พกหิน  ทีเดียว
แต่ก็ยังไม่แน่นัก ถึงจะใจหนักแน่นเหมือนดังที่หม่อมเจ้าอิศรญาณทรงนิพนธ์ไว้ในสุภาษิตอิศรญาณ ว่า อันเสาหินแปดศอกตอกเป็นหลัก แต่วรรคต่อมาท่านว่า ไปมาผลักบ่อยเข้าเสายังไหว สิ่งที่ผลักมานั้น ก็คือสิ่งที่เร้าหรือโน้มน้าวใจให้เห็นประโยชน์ที่น่าจะได้รับ ถ้าได้ยินหนึ่งครั้งสองครั้งก็ยังมี ใจหนักแน่น อยู่ได้แต่ถ้ามากรอกหูซ้ำแล้วซ้ำเล่า ก็คงไหวไปมาแรงชักจูง การโฆษณาสินค้า ที่เซ้าซี้เราอยู่ทุกวันนี้ก็ใช่หลักเดียวกันมนุษย์มีความต้องการขั้นพื้นฐานที่ผลักดันให้คิด เชื่อ และทำสิ่งต่างๆ
ตามความต้องการความหิวผลักดันให้มนุษย์ออกไปแสวงหาอาหาร ความต้องการอยู่เป็นหมู่คณะผลักดันให้มนุษย์ทำตัวให้เหมือนคนอื่นๆ  เป็นต้น คำชักชวนด้วยการโน้มน้าวใจ ว่าถ้าทำเช่นนั้นเช่นนี้แล้ว จะได้ประโยชน์หรือไม่เสียประโยชน์จึงกระทบใจมนุษย์ได้ดี
                ชายหกคนในนิทานเรื่อง หนึ่งในปัญจตันตระเห็นทีจะรู้หลักนี้ดี จึงโน้มน้าวใจพราหมณ์ผู้หนึ่งหลงเชื่อว่ากำลังแบกสุนัข นิทานเล่าว่าพราหมณ์จะทำพิธีบูชายัญจึงไปหาซื้อแพะมาตัวหนึ่ง ขณะที่แบกแพะกลับบ้าน  ชายหกคนเห็นเข้าก็คิดจะหลอกเอาแพะจากพราหมณ์ คนแรกยืนดักหน้าพราหมณ์แล้วทักว่าจะแบกสุนัขไปไหนพราหมณ์นึกขันตอบว่า สุนัขที่ไหนกัน แพะแท้ๆ เดินต่อไปอีกไม่กี่ก้าว ชายคนที่สองก็เข้ามาทักด้วยคำถามคล้ายๆกัน   พราหมณ์ไม่ขัน และยังตอบเหมือนเดิม ไปอีกหน่อยพบชายคนที่สาม ถามอีกแล้ว คราวนี้พราหมณ์ชักลังเลวางแพะลงดูให้แน่อีกที ครั้นเห็นว่ายังเป็นแพะตัวเดิมที่ซื้อมา ก็แบกขึ้นบ่าเดินต่อไป สักพักชายคนที่สี่เดินเข้ามาหาถามว่า จะเอาสุนัขไปทำอะไร พราหมณ์ตอบว่านี่มันแพะนะจะเอาไปบูชายัญ   ชายคนนั้นหัวเราะ แล้วยืนยันว่าเห็นๆอยู่ ว่าเป็นสุนัขแท้ๆ พราหมณ์ไม่ค่อยสบายใจเดินต่อมาพบชายคนที่ห้า และต่อมาอีกก็พบชายคนที่หกทักถามเหมือนกันอีกแล้ว หรือว่าแพะตัวนี้จะเป็นปีศาจ ถึงได้กลายร่างเป็นสุนัขให้ใครเห็นได้ ถ้าเราขืนแบกมันต่อไป กว่าจะถึงบ้าน มันก็คงแผลงฤทธิ์ทำร้ายเราแน่ๆคิดแล้วพราหมณ์ก็โยนแพะทิ้งแล้ววิ่งตัวเปล่ากลับบ้าน ชายทั้งหกคนจึงจับแพะไปเชือดกินกันวิธีการของชายทั้งหกคน คือโน้มน้าวใจพราหมณ์ให้เปลี่ยนความคิดและเปลี่ยนการกระทำ คือคิดว่าสิ่งที่แบกมาไมใช่แพะ และเลิกแบกต่อไป แต่เป็นการโน้มน้าวใจที่แฝงเจตนาไม่ดี ชักจูงให้เขาทำเพื่อประโยชน์ของตนฝ่ายเดียว จึงเป็นการชักจูงทำนองเดียวกับการโฆษณาชวนเชื่อ คนที่จะตกเป็นเหยื่อของการโน้มน้าวใจในลักษณะนี้ได้ง่ายๆก็คือ "คนที่ขาดวิจารณญาณ" หลักความเชื่อในกาลามสูตรจึงสอนไว้ข้อหนึ่งว่า "อย่าถือโดยตรึกตามอาการ"ซึ่งสมเด็จพระมหาสมณะเจ้ากรมพระยาวชิรญาณวโรรส  ทรงอธิบายไว้ว่า  หมายถึง"การได้ฟังเรื่องใดเรื่องหนึ่งที่ผู้ใดผู้หนึ่งพูดแล้ว ยังไม่ทราบว่าเป็นอย่างไร แต่คิดเห็นว่า ถ้าเราถืออย่างนี้จะดีกว่า แล้วเชื่อถือตามความคิดเห็นนั้น อย่างนี้เรียกว่า ถือโดยตรึกตามอาการ"

ข้อคิดจากเรื่อง
เรื่อง  เมื่อแพะกลายเป็นสุนัข  เป็นนิทานที่นำมาจากนิทานวานบอก  เล่มที่1  ของศาสตราจารย์  ดร.กุสุมา  รักษมณี  เป็นเรื่องที่ผู้เขียนยกมาจากนิทานปัญจตันตระเพื่อเป็นตัวอย่างแสดงให้เห็นว่า ธรรมชาติของมนุษย์มักเชื่อและทำตามคำชักชวนโน้มน้าวใจ  ยิ่งถ้าถูกโน้มน้าวใจซ้ำๆ  ก็ยิ่งเชื่อ  ดังเช่นพราหมณ์ผู้กำลังแบกแพะไปบูชายัญ  เมื่อถูกชาย  6  คนที่ประสงค์จะหลอกเอาแพะจากพรามณ์ทักซ้ำๆ  กันว่าแพะเป็นสุนัข พรามณ์ก็เชื่อและคิดไปว่า  แพะนั้นคงเป็นปีศาจจึงกลายร่างเป็นสุนัขห้ชาย  6  คนนั้นเห็น  และปีศาจแพะอาจทำร้ายตนความรักตนเองเป็นธรรมชาติของมนุษย์ทำให้พราหมณ์โยนแพะทิ้ง  ชาย  6  คนจึงหรอกเอาแพะได้สำเร็จ

ความรู้เรื่องนิทานปัญจตันตระ
พบกับ "นิทานปัญจตันตระ" นิทานเก่าแก่ล้ำค่าของอินเดีย 5 เล่ม ที่ถูกเขียนขึ้นเพื่อเป็นอุบายสอนเจ้าชาย 3 พระองค์ที่ไม่สนใจการเรียนหนังสือตามวิธีปกติ ให้ได้รู้เรื่องที่พระราชาในอนาคตควรจะรู้ โดยนำมาผูกร้อยเป็นนิทานสนุกสนานและสอดแทรกคำสอนการปฏิบัติที่ใช้ได้ทุกยุคทุกสมัย อันเป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้นิทานชุดนี้ ถูกนำมาถ่ายทอดต่อๆ กันไปทั่วโลกเป็นเวลาร่วม 2000 ปีมาแล้ว โดยในเล่มนี้ผู้เขียนได้ถ่ายทอดด้วยภาษาที่เข้าใจง่าย ซึ่งมีการเล่าเรื่องที่เป็นร้อยแก้วและร้อยกรอง พร้อมทั้งภาพประกอ[สวยงาม ที่ควรค่าแก่การอ่านและการเก็บรักษาเป็นอย่างยิ่ง

กลวิธีในการโน้นน้าวใจ
การ โน้มน้าวใจ คือการพยามยามเปลี่ยนความเชื่อ ทัศนคติ ค่านิยม และการกระทำของบุคคลอื่นโดยใช้กลวิธีที่เหมาะสมให้มีผลกระทบใจบุคคลนั้นทั้ง โดย วัจนภาษาคือ คำพูด ถ้อยคำ และอวัจนภาษา คือกริยาท่าทางต่างๆ จนเกิดการยอมรับ
1.แสดงให้เห็นความน่าเชื่อถือของผู้โน้นน้าวใจ
บุคลิกภาพหรือชื่อเสียงของผู้พูดเป็นเครื่องมือหนึ่งที่ทำให้การโน้มน้าวใจสัมฤทธิผล
2.แสดงให้เห็นถึงความหนักแน่นของเหตุผล
การแสดงเหตุผลเป็นส่วนหนึ่งในการจูงใจ ซึ่งสามารถดึงดูดความสนใจ ทำให้เกิดความเชื่อถือและคล้อยตามได้ การให้เหตุผลจะต้องสมเหตุสมผล
3.แสดงให้ประจักษ์ถึงความรู้สึกอารมณ์ร่วมกัน
บุคคลที่มีความรู้สึกหรือมีอารมณ์ร่วมกัน เป็นแรงผลักดันสำคัญของมนุษย์ที่จะนำไปสู่เป้าหมายหรือประสบผลสำเร็จร่วมกัน
4.แสดงให้เห็นด้านดีและด้านเสีย
5.สร้างความหรรษาแก่ผู้รับสาร
การโน้มน้าวใจโดยการเสนอแนะเป็นการเปิดโอกาสให้ผู้ฟัง ผู้อ่าน ใช้ความคิดก่อนที่จะเชื่อถือหรือกระทำตาม
6.เร้าให้เกดอารมณ์อย่างแรงกล้า
ภาษาเพื่อการโน้มน้าวใจ
ผู้โน้มน้าวใจควรใช้ภาษาที่มีน้ำเสียงในเชิงเสนอแนะ ขอร้อง วิงวอน เร้าใจ โดยคำนึงถึงจังหวะและความนุ่มนวลผู้พูดต้องหาวิธีโน้มน้าวใจคนฟังให้เอนเอียงมาฝ่ายตน ให้ผู้ฟังเกิดศรัทธา ไม่ควรใช้คำพูดและน้ำเสียงเด็ดขาด แข็งกระด้าง หรือกล่าวตรงไปตรงมาในเชิงตำหนิ ไม่ควรใช้น้ำเสียงในลักษณะของคำสั่งหรือการแสดงอำนาจซึ่งจะกระทบกระเทือนใจผู้รับสาร ทำให้การโน้มน้าวใจไม่บรรลุผลตามต้องการ

ตัวอย่างการใช้ภาษาเชิงเสนอแนะ
พวกเธอควรกินผลไม้และดื่มน้ำมากๆถ้าอยากให้ผิวพรรณผ่องใส

ตัวอย่างการใช้ภาษาเชิงขอร้อง
โรงเรียนของเรามีชื่อเสียงได้  ส่วนหนึ่งเกิดจากนักเรียนถ้านักเรียนพยายามทำโครงงานวิทยาศาสตร์ครั้งนี้ใจดีจนชนะการประกวด  โรงเรียนของเราก็จะได้ชื่อเสียงมากทีเดียว

ตัวอย่างการใช้ภาษาเชิงวิงวอน
ลูกชายของผมมีเลือด AB เน้กกะทีฟซึ่งเป็นเลือดหายากต้องผ่าตัดเอาเนื้องอกออกโดยด่วน  แต่สภากาชาดมีเลือดกลุ่มนี้สำรองไว้ไม่พอ  ขอท่านที่มีเลือดกลุ่มนี้  โปรดช่วยชีวิตลูกชายผมด้วย  ผมมีลูกชายเพียงคนเดียว  เขาเป็นลมหายใจของผมขอความกรุณาติดต่อโรงพยาบาลจุฬาฯ  โดยด่วน  หรือติดต่อผมโดยตรงที่หมายเลข  08 1118 8811

ตัวอย่างการใช้ภาษาเชิงเร้าใจ
  ถ้าพวกเธอไม่ลงแข่งโต้วาทีครั้งนี้  คงไม่มีใครกล้าลงแข่งแทนหรอก  กลัวว่าถ้าแพ้แล้วจะถูกประณาม  ว่าไม่เก่งจริงแล้วยังจะไปแข่งอีก  แต่ถ้าพวกเธอลงแข่ง  เราเชื่อว่าต้องได้ชัยชนะกลับมาแน่ๆ

การใช้วิจารณญานในการรับสารโน้มน้าวใจ

1. การวิเคราะห์ผู้อ่าน ผู้เขียนจะต้องวิเคราะห์ผู้อ่านว่า มีลักษณะอย่างไร เช่น เพศ วัย การศึกษา อาชีพ ฐานะทางเศรษฐกิจ ฐานะทางสังคม และค่านิยม เป็นต้น การวิเคราะห์ผู้อ่านจะช่วย ให้ผู้เขียนสามารถกำหนด เนื้อหาและกลวิธีการนำเสนอได้อย่างเหมาะสม
2. การใช้หลักจิตวิทยา ผู้เขียนจะต้องอาศัยหลักจิตวิทยาในการเขียนโน้มน้าวใจเป็นอย่างมาก เนื่องจากผู้เขียนต้องทำความเข้าใจธรรมชาติ ความสนใจ และความต้องการของผู้อ่าน ว่าน่าจะเป็น ไปในทิศทางใด แล้วจึงนำมาเป็นประโยชน์ในการเขียนโน้มน้าวใจต่อไป


กาลามสูตร
               
สาเหตุที่ทำให้พระพุทธเจ้าต้องสอนเรื่องกาลามสูตรนั้น ต้นตอไม่ได้แตกต่างจากสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นในยุคนี้เลย นี่คือข้อความที่อยู่ในพระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๐ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๒ อังคุตรนิกาย (คัดลอกมาจากพระไตรปิฎกฉบับสยามรัฐที่อยู่ในอินเทอร์เน็ต)
               ครั้งนั้น พระพุทธเจ้าพร้อมสาวกกลุ่มใหญ่กำลังเสด็จผ่านไปยังแคว้นโกศล ผ่านไปยังนิคมของชาวกาลามะที่อยู่เมืองเกสปุตตะ ชาวเมืองกาลามะได้ยินกิตติศัพท์ของพระสมณโคดมมาก่อน[2] ว่าท่านเป็นพระอรหันต์ที่หลุดพ้นจากกิเลสแล้ว สามารถจำแนกธรรมสั่งสอนทั้งเทวดาและมนุษย์ให้รู้ตาม และคำสอนของท่านก็ไพเราะทั้งเบื้องต้น ท่ามกลาง และที่สุด ชาวกาลามะจึงเห็นสมควรที่จะเข้าไปกราบคารวะพระพุทธเจ้า นั่งอันที่ควรและตั้งคำถามต่อพระบรมศาสด
               “พระเจ้าข้า มีสมณพราหมณ์พวกหนึ่งมายังเกสปุตตนิคม สมณพราหมณ์พวกนั้น พูดประกาศแต่เฉพาะวาทะของตัวเท่านั้น ส่วนวาทะของผู้อื่นช่วยกันกระทบกระเทียบ ดูหมิ่น พูดกด ทำให้ไม่น่าเชื่อ พระเจ้าข้า มีสมณพราหมณ์อีกพวกหนึ่งมายังเกสปุตตนิคม ถึงพราหมณ์พวกนั้น ก็พูดประกาศแต่เฉพาะวาทะของตนเท่านั้น ส่วนวาทะของผู้อื่นช่วยกันกระทบกระเทียบ ดูหมิ่น พูดกด ทำให้ไม่น่าเชื่อ พระเจ้าข้า พวกข้าพระองค์ยังมีความเคลือบแคลงสงสัยในสมณพราหมณ์เหล่านั้นอยู่ทีเดียวว่า ท่านสมณพราหมณ์เหล่านั้น ใครพูดจ คุณเห็นหรือไม่ว่า สิ่งที่ชาวกาลามะพูดนั้นเหมือนกับสิ่งที่กำลังทุกวันนี้ อย่างไรก็อย่างนั้นเลย พระพุทธเจ้าจึงตรัสตอบว่
   “ดูกรกาลามชนทั้งหลาย ก็ควรแล้วที่ท่านทั้งหลายจะเคลือบแคลงสงสัย และท่านทั้งหลายเกิดความเคลือบแคลงสงสัยในฐานะที่ควรแล้ว มาเถิดท่านทั้งหลาย ท่านทั้งหลาย  
1.      อย่าได้ยึดถือตามถ้อยคำที่ได้ยินได้ฟังมา
2.      อย่าได้ยึดถือตามถ้อยคำสืบๆ กันมา
3.      อย่าได้ยึดถือโดยตื่นข่าวว่าได้ยินอย่างนี้
4.      อย่าได้ยึดถือโดยอ้างตำรา
5.      อย่าได้ยึดถือโดยเดาเอาเอง
6.      อย่าได้ยึดถือโดยคาดคะเน
7.      อย่าได้ยึดถือโดยความตรึกตามอาการ
8.      อย่าได้ยึดถือโดยชอบใจว่าต้องกันกับทิฐิของตัว
9.      อย่าได้ยึดถือโดยเชื่อว่าผู้พูดสมควรจะเชื่อได้
10.  อย่าได้ยึดถือโดยความนับถือว่าสมณะนี้เป็นครูของเรา
               เมื่อใด ท่านทั้งหลายพึงรู้ด้วยตนเองว่า ธรรมเหล่านี้เป็นอกุศล ธรรมเหล่านี้มีโทษ ธรรมเหล่านี้ผู้รู้ติเตียน ธรรมเหล่านี้ใครสมาทานให้บริบูรณ์แล้วเป็นไปเพื่อสิ่งไม่เป็นประโยชน์ เพื่อทุกข์เมื่อนั้น ท่านทั้งหลายควรละธรรมเหล่านั้นเสีย



                ที่จริงแล้ว คำสอนในกาลามสูตรมีความยาวพอสมควรทีเดียว เนื้อหาเป็น เหมือนกับการถามตอบระหว่างชาวกาลามะกับพระบรมศาสดา แต่ยุคนี้มักยกตัดตอนแต่เรื่องอย่าปลงใจเชื่อโน่นนี่ ๑๐ ข้อเท่านั้น และไม่ได้วิเคราะห์ให้ลึกซึ้งว่าคำสอนนี้ยังเหมาะกับยุคสมัยหรือไม่
เมื่อใดท่านทั้งหลายรู้ด้วยตนเองว่า สิ่งใดเป็นอกุศล สิ่ง
ใดมีโทษ สิ่งใดวิญญูชนติเตียน สิ่งใดผู้ยึดถือปฏิบัติแล้ว จะ
เป็นไปเพื่อมิใช่ประโยชน์เกื้อกูล เพื่อความทุกข์เมื่อนั้นท่าน
พึงละเสีย เมื่อใดท่านทั้งหลายรู้ด้วยตนเองว่า สิ่งใดเป็นกุศล
สิ่งใดไม่มีโทษ สิ่งใดวิญญูชนสรรเสริญ สิ่งใดผู้ยึดถือปฏิบัติ
แล้วจะเป็นไปเพื่อประโยชน์เกื้อกูล เพื่อความสุข
เมื่อนั้นท่านทั้งหลายพึงนับถือปฏิบัติบำเพ็ญ




หลักกาลามาสูตรทั้ง 10 ข้อดังกล่าว อธิบายเพื่อเป็นแนวทางดังนี้
 1.  อย่าเชื่อ เพราะได้ฟังตามกันมา ย่าเชื่อการได้ยินผู้ใดบอกเล่าเรื่องใดเรื่องหนึ่งที่มีผู้บอกต่อๆกันมา
2. อย่าเชื่อถือ โดยลำดับสืบๆกันมา   อย่านิยม ตามบรรพบุรุษของตน
3. อย่าเชื่อถือ โดยตื่นข่าวเล่าลือ     อย่าเชื่อคนเป็นอันมาก เขาตื่นเต้นนับถืออะไรกัน ก็พลอยตื่นเต้นนับถือไปตามเขาบ้าง
4. อย่าเชื่อถือ  โดยการอ้างตำราหรือคัมภีร์ อย่าเชื่อตำรับตำราใดๆ ที่เขียนเรื่องราวอะไรไว้
 5. อย่าเชื่อถือ โดยการกะหรือเก็งความจริงหรือนึกเดาเอาด้วยเหตุผลทางตรรก  เมื่อได้ยินเขาพูดข้อความหรือเรื่องราวใดๆ  แล้วนึกเอาในใจว่า  คงจะเป็นอย่างนี้ๆแน่ 
6. อย่าเชื่อถือ  โดยการอนุมานเอา  หรือการคาดคะเน  อย่าเชื่อถือเอาตามการคาดคะเน
 7. อย่าเชื่อถือโดยตรึกตรองอาการ  อย่าเชื่อการได้ฟังเรื่องใดเรื่องหนึ่งที่ผู้ใดผู้หนึ่งพูดแล้วยังไม่ทราบว่าเป้นอย่างไร  แต่คิดเห็นว่า  ถ้าเราถืออย่างนี้จะดีกว่า 
8. อย่าเชื่อถือโดยคิดว่าถูกต้องตรงกับลัทธิ  ความเห็นของตน  ลัทธิของตนเคยถือมาอย่างไรเมื่อมีผู้ใดผู้หนึ่งมาผู้เรื่องใดเรื่องหนึ่งถูกต้องตรงกับลัทธิความเชื่อถือของตนดั้งเดิม  ก็ชอบใจ  พอใจ  แล้วเชื่อตาม  ถือตาม อย่างนี้เรียกว่า  เชื่อถือเพราะเชื่อใจว่า ถูกกันลัทธิของตน
9. อย่าเชื่อถือ  โดยเห็นว่า ผู้พูดควรเชื่อถือได้  การได้ฟังเรื่องใดเรื่องหนึ่งที่ผู้ใดพูดแล้วเห็นว่า ท่านผู้พูดนี้  ท่านเป็นคนมีสติปัญญาทั้งได้เล่าเรียนศึกษามามาก 

10. อย่าเชื่อถือ  โดยคิดว่าสมณะผู้นี้  หรือครูคนนี้เป็นครู เป็นอาจารย์ของเรา  เมื่ออุปัชฌาย์ก็ดี  อาจารย์ก็ดี  สั่งสอนเรา  อบรมเรา  โดยคิดว่าบุคคลผู้นี้เป็นครู-เป็นอาจารย์ของเรา

ดังนั้น กาลามสูตรจึงเป็นพระสูตรที่ให้อิสระในด้านความคิด แต่ไม่ได้หมายความว่าไม่ให้เราเชื่อ แต่ให้พิจารณาให้ดีเสียก่อน แล้วจึงค่อยเชื่อ อย่าเชื่อโดยฟังตามกันมา แม้แต่พระคัมภีร์ก็อย่าเพิ่งเชื่อ ให้พิจารณา ดูเสียก่อน ถ้าทำได้อย่างนี้ ถือว่าสมกับการเป็นชาวพุทธ ไม่เชื่ออะไรอย่างไร้เหตุผล โดยไม่พิจารณาว่าควรเชื่อ หรือไม่เพียงไร 

เราจึงควรภูมิใจที่เราได้นับถือพระพุทธศาสนา อันเป็นศาสนาที่มีเหตุผล สอดคล้องกับวิทยาศาสตร์ ในโลกปัจจุบันไม่เป็นไปเพื่อเบียดเบียนตนและผู้อื่น แต่เป็นไปเพื่อประโยชน์ตนและผู้อื่น และเป็นไปเพื่อความ สิ้นทุกข์ในที่สุด แม้ทุกข์ยังไม่หมด แต่ก็มีความสงบสุขในชีวิตเพิ่มขึ้น เมื่อเราได้ปฏิบัติได้ถูกต้องตามพุทธธรรม ไม่เสียทีที่เกิดมาเป็นมนุษย์พบพระพุทธศาสนา 
คิดตรอง  ลองทำดู




๑. นำคำต่อไปนี้ไปเเต่งเป็นข้อควา้มหรือเรื่องราวที่เเสดงความหมายของคำนั้นให้ถูกต้องเเละชัดเจน
          ๑)  ชักชวน    ชักจูง    ชวนเชื่อ    เชิญชวน


        )  ใจง่าย    ใจเบา     หลายใจ    สองใจ



๒. บอกความหมายของถ้อยคำเเละสำนวนต่อไปนี้  บอกด้วยว่าใช้ในกรณีใด  เเล้วนำไปเเต่งเป็นประโยค


         พกนุ้น    พกหิน    ไม้หลักปักเลน


         


         อย่าถือโดยตรึกตามอาการ




           อันเสาหินเเปดศอกตอกเป็นหลัก  ไปมาผลักบ่อยเข้าเสายังไหว


          ๓.  ประโยคที่ว่า  "ใจหนึ่งก็อยากจะซื้อ  ใจหนึ่งก็เสียดายเงิน"  ในเรื่องที่อ่านมี       ความหมายที่ตรงกับสำนวนไทยว่าอย่างไร
          ๔.  ร่วมกันพิจารณาว่าหากตนเป็นพราหมณ์เเละต้องพบกับชายเจ้าเล่ห์ทั้ง ๖ คนจะคิดเเก้ปัญหาอย่างไร


          ๕.เเบ่งกลุ่มเลือกหัวข้อต่อไปนี้  นำไปคิดหาวิธีโน้มน้าวใจ  อาจเขียนส่งครูหรือนำไปพูดเสนอหน้าชั้นเรียน


          ๑)  ใช้ของไทย    ซื้อของไทย  ชาติไทยเจริญ


           ๒)  รักสิ่งใดไม่สำคัญเท่ารักชาติ


           ๓)  หญิงไทยรักนวลสงวนตัว


           ๔)  ผลประโยชน์ส่วนรวมต้องมาก่อนส่วนตัว


            ๕)  เด็กไทยร่วมใจต้านยาเสพติด


            ๖)  สุขภาพดี  ไม่มีขาย  อยากได้ต้องทำเอง


            ๗)  เด็กไทยลดหวาน  รับประทานผัก  รักออกกำลังกาย
             เพิ่ม     เสริมสาระ
1.แบ่งกลุ่มแข่งขันหาสำนวนที่มีคำว่าใจ”  อยู่ด้วย  กลุ่มใดหาได้มากกว่าเป็นผู้ชนะ  และช่วยกันรวบรวมสำนวนที่ทุกกลุ่มเสนอพร้อมทั้งหาความหมายแล้วนำไปติดที่ป้ายนิเทศของห้องเรียนเพื่อให้เพื่อนๆ  ได้เรียนรู้ร่วมกัน
2.แบ่งกลุ่มศึกษาความรู้ตามหัวข้อที่กำหนดจากนิทานอีสป   นิทานชาดก  นิทานพื้นบ้านที่มีคติสอนใจ   จัดทำเป็นหนังสือ    หนังสือการ์ตูน   หรือบทความเวียนกันอ่าน
1)การผูกมิตร
2)การขาดความยั้งคิด

3)การสูญลาภ
                         


แบบทดสอบก่อนเรียน-หลังเรียน
กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๒
จากบทเรียนภาษาไทย วิวิธภาษา เรื่องเมื่อแพะกลายเป็นสุนัข
JJJJJJ
คำสั่ง  ให้เลือกคำตอบที่ถูกต้องที่สุดเพียงคำตอบเดียว
1.          เรื่องเมื่อแพะกลายเป็นสุนัขเป็นนิทานที่นำมาจากนิทานอะไร
                               ก.      นิทานวานบอก
                               ข.      นิทานอีสป
                               ค.      นิทานพื้นบ้าน
                               ง.       นิทานอินเดีย
                 2.      .      เรื่องเมื่อแพะกลายเป็นสุนัขใครเป็นผู้แต่ง
                             ก.      ผอ. สุพัฒน์
                             ข.      กระทรวงศึกษาธิการ
                             ค.      นายกยิ่งลักษ์
                             ง.       ดร.กุสุมา
                 3.            นิทานปํญจตันตระเป็นนิทานที่แต่งขึ้นมาแล้วกี่ปี
                            ก.      1500ปี
                            ข.      1222ปี
                            ค.      1588ปี
                            ง.       1485ปี
                4.             มีชายกี่คนที่หลอกเอาแพะจากพราหมณ์
                           ก.      5คน
                           ข.      3คน
                           ค.      6คน
                           ง.       4คน       
                5.             วรรณนากาลามสูตรมีข้อห้ามกี่ข้อ
                           ก.      12ข้อ
                           ข.      10ข้อ
                           ค.      15ข้อ
                           ง.       13ข้อ
               6.             ใครเป็นคนนิพนธ์วรรณนากาลามสูตร
                           ก.      สมเด็จพระมหาสมณเจ้า
                           ข.      พระเจ้าตากสินมหาราช
                           ค.      พระพุทธเจ้า
                           ง.       พระยาวชิยาน
               7.            ปุจฉา  แปลว่าอะไร
                           ก.      คำถาม
                           ข.      คำตอบ
                           ค.      ไม่มีข้อถูก
                           ง.       ถูกทุกข้อ
                8.          พราหมณ์จะนำแพะไปทำอะไร      
                           ก.      ไปทำอาหาร
                           ข.      ไปบูชายัญ
                           ค.      ไปเลี้ยง
                           ง.       ไปขาย   
               9.             ภาษาโน้มน้าวใจต้องใช้ภาษาเชิงอะไร         
                          ก.      เชิงขอร้อง
                          ข.      เชิงวิงวอน
                          ค.      เชิงเร้าใจ
                          ง.       ถูกทุกข้อ
                                             10.      “พวกเธอควรกินผลไม้และดื่มน้ำมากๆถ้าอยากให้ผิวพรรณผ่องใส”  เป็นภาษาโน้มน้าวใจใน                                     ข้อใด
                         ก.      เชิงขอร้อง
                         ข.      เชิงวิงวอน
                         ค.      เชิงเร้าใจ
                          ง.       เชิงเสนอแนะ
               11.      หม่อมเจ้าอิศรญาณทรงนิพนธ์สุภาษิตอิศรญาณตามข้อใด
                         ก.      อันเสาหินแปดศอกตอกเป็นหลักแต่ถ้าไปมาผลักเสายังไหว
                         ข.      อันเสาใหญ่ตอกไว้ผลักไปมาเสายังไหว
                         ค.      อันเสาเล็กตอกไว้ผลักไปมาเสายังไหว
                         ง.       อันเสาหินแปดศอกตอกเป็นผืนแต่ถ้าไปมาผลักเสายังไหว
              12.      นิทานวานบอกเป็นเล่มที่เท่าใดของดร.กุสุมา
                        ก.      เล่มที่1
                        ข.      เล่มที่2
                        ค.      เล่มที่3
                        ง.       เล่มที่4
               13.      วิสัชนา  แปลว่าอะไร
                        ก.      คำถาม
                        ข.      คำตอบ
                        ค.      ไม่มีข้อถูก
                        ง.       ถูกทุกข้อ
               14.      นิทานปํญจตันตระเป็นนิทานที่แต่งขึ้นมาแล้วกี่ภาษา
                       ก.      40ภาษา
                       ข.      50ภาษา
                       ค.      60ภาษา
                       ง.       70ภาษา
                15.     “ไม่ควรใช้สำหรับคนบางกลุ่ม”  เป็นกลวิธีโน้มน้าวใจข้อใด
                      ก.      ให้ข้อมูลแต่ด้านดี  ไม่พูดถึงด้านเสีย
                      ข.      แสดงให้เห็นทางเลือก
                      ค.      แสดงเหตุผลที่หนักแน่น

                      ง.       ทำให้เกิดความรู้สึกร่วมกัน



                                         

comment